ระบบปรับอากาศ (HVAC: Heating, Ventilation, and Air Conditioning) เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อสภาพแวดล้อมภายในอาคาร ไม่ว่าจะเป็นสำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า หรือโรงงานอุตสาหกรรม การเลือกใช้ระบบปรับอากาศที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับความสะดวกสบาย แต่ยังช่วยประหยัดพลังงาน ลดต้นทุนในการดำเนินงาน และยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์อีกด้วย ดังนั้น ในบทความนี้ เราจะพาเจ้าของธุรกิจและผู้ที่สนใจไปรู้กันว่าระบบปรับอากาศในอาคารมีกี่แบบ พร้อมปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกใช้ เพื่อให้เหมาะสมกับประเภทอาคารและลักษณะการใช้งาน

1. ระบบแยกส่วน (Split Type Air Conditioner)
ระบบปรับอากาศภายในอาคารแบบแยกส่วน เป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยประกอบด้วยชุดคอยล์ร้อน (Condensing Unit) ที่ติดตั้งภายนอกอาคาร และชุดคอยล์เย็น (Indoor Unit) ที่ติดตั้งภายในอาคาร
ข้อดี :
- ต้นทุนติดตั้งต่ำเมื่อเทียบกับระบบอื่น ๆ
- การติดตั้งง่ายและใช้เวลาน้อย
- เหมาะกับพื้นที่ขนาดเล็กถึงกลาง
- สามารถควบคุมอุณหภูมิแยกเป็นห้อง ๆ ได้
- การบำรุงรักษาไม่ซับซ้อน
ข้อจำกัด :
- ไม่เหมาะกับอาคารขนาดใหญ่ที่มีหลายห้อง เนื่องจากต้องติดตั้งคอมเพรสเซอร์ภายนอกจำนวนมาก
- ประสิทธิภาพพลังงานไม่สูงเท่าระบบรวมศูนย์
- ความสามารถในการกรองอากาศและควบคุมความชื้นมีจำกัด
- เสียงรบกวนจากเครื่องภายในค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับระบบอื่น
2. ระบบ VRV / VRF (Variable Refrigerant Volume / Variable Refrigerant Flow)
ระบบ VRV/VRF เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อยอดจากระบบปรับอากาศภายในอาคารแยกส่วน โดยใช้คอมเพรสเซอร์ภายนอกขนาดใหญ่เพียงตัวเดียวหรือชุดเดียว เชื่อมต่อกับเครื่องภายในหลาย ๆ ตัว สามารถควบคุมปริมาณน้ำยาที่ไหลเวียนไปยังแต่ละเครื่องได้อย่างแม่นยำตามความต้องการความเย็น
ข้อดี :
- ประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูง เนื่องจากคอมเพรสเซอร์ทำงานตามภาระความเย็นที่แท้จริง
- ควบคุมอุณหภูมิแต่ละพื้นที่ได้อย่างอิสระและแม่นยำ
- ลดพื้นที่ติดตั้งเครื่องภายนอก เมื่อเทียบกับระบบแยกส่วนทั่วไป
- ระบบท่อน้ำยาขนาดเล็ก ใช้พื้นที่ติดตั้งน้อยกว่าระบบท่อน้ำ
- ความยืดหยุ่นสูงในการออกแบบและขยายระบบในอนาคต
ข้อจำกัด :
- ต้นทุนการติดตั้งสูงกว่าระบบแยกส่วนทั่วไป
- ต้องการช่างผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งและซ่อมบำรุง
- ความยาวท่อน้ำยามีข้อจำกัด ไม่เหมาะกับอาคารขนาดใหญ่มาก
- หากคอมเพรสเซอร์หลักมีปัญหา อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่หลายส่วน
3. ระบบ Chiller (Central Chilled Water System)
ระบบ Chiller หรือระบบน้ำเย็น เป็นระบบปรับอากาศภายในอาคารที่นิยมใช้ในอาคารขนาดใหญ่ หลักการทำงานคือ ใช้เครื่องทำน้ำเย็น (Chiller) ผลิตน้ำเย็นที่อุณหภูมิประมาณ 5-7°C แล้วส่งไปยังเครื่องส่งลมเย็น เช่น AHU หรือ FCU
ข้อดี :
- ประสิทธิภาพสูงมากสำหรับอาคารขนาดใหญ่
- อายุการใช้งานยาวนานกว่าระบบอื่น ๆ (มากกว่า 15-20 ปี)
- รองรับการขยายตัวของอาคารในอนาคตได้ดี
- เสียงรบกวนภายในพื้นที่ปรับอากาศน้อย
- สามารถใช้เทคนิคการประหยัดพลังงานขั้นสูงได้ เช่น การกักเก็บความเย็น (Thermal Storage)
- สามารถเชื่อมต่อกับแหล่งพลังงานทางเลือกได้ง่าย
ข้อจำกัด :
- ต้นทุนการติดตั้งสูง
- ต้องการพื้นที่สำหรับติดตั้งเครื่องจักรและระบบท่อขนาดใหญ่
- ต้องมีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอโดยผู้เชี่ยวชาญ
- ไม่คุ้มค่าสำหรับอาคารขนาดเล็ก หรือมีการใช้งานไม่บ่อย
4. ระบบ AHU + Ducting (Air Handling Unit with Duct System)
ระบบปรับอากาศภายในอาคาร AHU หรือเครื่องส่งลมเย็นพร้อมระบบท่อลม เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ร่วมกับระบบ Chiller โดย AHU จะรับน้ำเย็นจาก Chiller มาแลกเปลี่ยนความร้อนกับอากาศ แล้วส่งลมเย็นผ่านระบบท่อลมไปยังพื้นที่ต่าง ๆ
ข้อดี :
- ควบคุมคุณภาพอากาศได้ดีเยี่ยม สามารถติดตั้งระบบกรองอากาศขั้นสูงได้
- กระจายลมเย็นได้ทั่วถึงและสม่ำเสมอ
- เสียงรบกวนน้อย เนื่องจากเครื่องอยู่ห่างจากพื้นที่ใช้งาน
- สามารถปรับปริมาณอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกได้ตามความต้องการ
- เหมาะกับพื้นที่โล่งขนาดใหญ่ หรือพื้นที่ที่มีความต้องการคุณภาพอากาศสูง
ข้อจำกัด :
- ต้องการพื้นที่สำหรับติดตั้งท่อลมและฝ้าเพดานสูง
- ยากในการปรับเปลี่ยนหรือดัดแปลงหลังจากติดตั้งแล้ว
- การควบคุมอุณหภูมิแยกเป็นห้องทำได้ยากกว่าระบบอื่น (เว้นแต่จะติดตั้ง VAV – Variable Air Volume)
- ต้นทุนติดตั้งและบำรุงรักษาสูง

5. ระบบ Evaporative Cooling (ระบบทำความเย็นแบบอีแวพอเรทีฟ)
ระบบ Evaporative Cooling ใช้หลักการระเหยของน้ำในการลดอุณหภูมิอากาศ โดยไม่ใช้สารทำความเย็นเหมือนระบบปรับอากาศภายในอาคารทั่วไป เหมาะกับพื้นที่ที่มีอากาศร้อนและแห้ง
ข้อดี :
- ประหยัดพลังงานมากกว่าระบบปรับอากาศทั่วไป 70-80%
- ต้นทุนติดตั้งและบำรุงรักษาต่ำ
- เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ใช้สารทำความเย็น
- เพิ่มความชื้นให้กับอากาศ เหมาะกับพื้นที่แห้ง
- เพิ่มปริมาณอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่อาคาร 100%
ข้อจำกัด :
- ประสิทธิภาพลดลงในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง
- ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำเท่าระบบปรับอากาศทั่วไป
- ต้องการน้ำสะอาดปริมาณมาก
- ไม่เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการควบคุมความชื้น
- อาจเกิดปัญหาเชื้อราหากไม่ได้รับการบำรุงรักษาที่ดี
วิธีเลือกระบบปรับอากาศให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ
ขนาดและประเภทของอาคาร
- อาคารขนาดเล็ก (ร้านค้า ออฟฟิศขนาดเล็ก) : Split Type หรือ VRV/VRF เป็นตัวเลือกระบบปรับอากาศภายในอาคารที่เหมาะสม เนื่องจากติดตั้งง่ายและมีต้นทุนต่ำ
- อาคารขนาดกลาง (โรงแรม โรงพยาบาล อาคารสำนักงานขนาดกลาง) : VRV/VRF หรือ Chiller + AHU เหมาะสมกว่า เพราะสามารถควบคุมอุณหภูมิและคุณภาพอากาศได้ดี
- อาคารขนาดใหญ่ (ศูนย์การค้า โรงงาน คลังสินค้า) : Chiller หรือ Evaporative Cooling คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุด เนื่องจากสามารถลดต้นทุนพลังงานในระยะยาวและรองรับพื้นที่ขนาดใหญ่ได้
งบประมาณและค่าใช้จ่ายระยะยาว
- งบประมาณเริ่มต้นต่ำ : ระบบ Split Type หรือ Evaporative Cooling ติดตั้งง่ายและมีต้นทุนต่ำ
- เน้นความประหยัดพลังงานระยะยาว : ระบบปรับอากาศภายในอาคาร VRV/VRF หรือ Chiller มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่สูงกว่า แต่ช่วยลดค่าไฟฟ้าในระยะยาว
- ต้องการลดต้นทุนบำรุงรักษา : ระบบที่มีโครงสร้างซับซ้อน เช่น AHU + Ducting หรือ Chiller อาจมีค่าบำรุงรักษาสูงกว่าระบบขนาดเล็ก
ความต้องการในการควบคุมอุณหภูมิและคุณภาพอากาศ
- ต้องการควบคุมอุณหภูมิแม่นยำ : ระบบ VRV/VRF หรือ AHU + Chiller ตอบโจทย์การควบคุมอุณหภูมิที่มีความละเอียดสูง
- ต้องการคุณภาพอากาศสูง : AHU + Ducting เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับโรงพยาบาล โรงงานยา และอุตสาหกรรมอาหาร
- ต้องการระบบที่เหมาะกับพื้นที่เปิด : Evaporative Cooling เป็นตัวเลือกระบบปรับอากาศภายในอาคารที่คุ้มค่าสำหรับโรงงานและโกดังสินค้าที่มีอากาศถ่ายเทตลอดเวลา
เมื่อได้ทราบแล้วว่าระบบปรับอากาศในอาคารมีกี่แบบ และแต่ละแบบเหมาะกับอาคารแบบไหน ดังนั้น ผู้ประกอบการท่านใดกำลังมองหา Supplier ที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบเครื่องทำน้ำเย็น สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์ (Chiller) แนะนำ Domnick ผู้จัดจำหน่ายระบบทำความเย็น HVAC รวมถึงการปรับปรุงคุณภาพอากาศอัดที่มีโซลูชันครอบคลุมมากที่สุด โดยคุณสามารถพบกับโซลูชันของเราได้ในทุก ๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงาน โรงงาน คลังสินค้า ร้านค้า มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล คอนโดมิเนียม หรือโรงแรมต่าง ๆ เรามีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและบริการหลังการขายที่ครอบคลุม ทั้งการจัดหาอะไหล่ การซ่อมบำรุงด่วนภายใน 48 ชั่วโมง และการตรวจเช็กระบบทุก 6 เดือนโดยทีมช่างมืออาชีพ สามารถติดต่อเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยที่ LINE ID: @Domnick หรือโทร. 02 678 2224