รูปแบบระบบผลิตก๊าซชีวภาพ

ระบบผลิตก๊าซชีวภาพหรือระบบบําบัดน้ําเสียแบบไม่ใช้ออกซิเจนถูกนํามาใช้ในการกําจัดตะกอนส่วน เกินจากระบบบําบัดน้ําเสียแบบใช้ออกซิเจน ทั้งนี้เพื่อลดปริมาตรและทําให้ตะกอนคงสภาพดีขึ้น ในอดีตที่ผ่านมาได้มีการนําเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในการบําบัดน้ําเสียอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลายมากขึ้นอย่างมากช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบําบัดน้ําเสียและสามารถช่วยลดการใช้พลังงานของโรงงาน

Anaerobic Pond

1. บ่อหมัก (Anaerobic Pond)
ทํางานโดยอาศัยแบคทีเรียที่ลอยกระจายตัวอยู่ ในบ่อแบคทีเรียในระบบจะมีความเข้มข้นต่ําต้องใช้ ระยะเวลาในการย่อยสลายสารอินทรีย์นานอยู่ระหว่าง 5 – 45 วัน ทําให้ต้องใช้พื้นที่บ่อใหญ่มาก หากต้องการรวบรวมก๊าซชีวภาพมาใช้ต้องคลุมด้วยพลาสติก เช่น PVC, HDPE

Covered Lagoon

2. ระบบบ่อปิด (Covered Lagoon)
บ่อหมักระบบปิดเป็นบ่อหมักก๊าซอีกรูปแบบหนึ่ง โครงสร้างบ่ออาจเป็นบ่อคอนกรีตหรือดินขุดก็ได้ในกรณีที่เป็นบ่อดินขุดอาจปูแผ่นยางที่ใช้ปูสระเก็บน้ํามาปูทับ เพื่อไม่ให้เกิดการรั่วซึมของเสียลงสู่ดิน ด้าน บนของบ่อคลุมด้วยผืนพลาสติกขนาดใหญ่เพื่อรวบ รวมก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นในบ่อและเพื่อป้องกันไม่ให้ กลิ่นแพร่กระจาย หลักการทํางานของระบบนี้เนื่องจาก ด้านบนมีพลาสติกคลุมทําให้จุลินทรีย์สามารถย่อย สลายอินทรีย์ในน้ําเสียในสภาพไร้ออกซิเจนได้ ซึ่งก่อ ให้เกิดก๊าซชีวภาพ

Fixed Dome

3. บ่อโดมคงที่ (Fixed Dome)
เป็นบ่อหมักก๊าซที่ส่งเสริมให้มีการใช้ในฟาร์มสุกรขนาดเล็ก โดยทั่วไปจะมีลักษณะเป็นทรงกลมฝังอยู่ใต้ดินส่วนที่เก็บก๊าซมีลักษณะเป็นโดม ซึ่งข้อดีของระบบนี้คือประหยัดพื้นที่บริเวณฟาร์มเนื่องจากถังหมักอยู่ใต้ผิวดิน จึงทําให้สามารถระบายน้ํามูลสุกรจากโรงเรือนไปสู่บ่อหมักโดยอาศัยแรงโน้มถ่วง อุณหภูมิในบ่อหมักค่อนข้างคงที่ทําให้การหมักของมูลสัตว์เป็นไปอย่างต่อเนื่อง สําหรับข้อเสียของระบบนี้คือ ในบริเวณที่ระดับน้ําใต้ดินสูงการทํางานและการสร้างบ่อหมักจะค่อนข้างลําบา และในบริเวณส่วนโค้งของถังหมักจะต้องใช้เทคนิคและความชํานาญสูง

ส่วนประกอบของบ่อโดมคงที่มีดังนี้ 

  1. บ่อเติมมูลสัตว์ (Mixing Chamber) เป็นพื้นที่สําหรับการผสมมูลสัตว์กับน้ําก่อนเติมลงในบ่อหมัก 
  2. บ่อหมัก (Digester Chamber) เป็นพื้นที่สําหรับรับมูลสัตว์และน้ําจากบ่อเติมมูลสัตว์มาหมักให้เกิดก๊าซมีเทนและก๊าซอื่นๆ ซึ่งก๊าซที่เกิดขึ้นจะผลักดันให้มูลสัตว์และน้ําที่อยู่ด้านล่างของบ่อหมักไหลไปอยู่ก้นบ่อ
  3. บ่อล้น (Expansion Chamber) เป็นพื้นที่สําหรับรับมูลสัตว์และน้ําที่ถูกก๊าซผลักดันจากบ่อหมักโดยการทํางานจะเป็นระบบไดนามิ คือเมื่อก๊าซเกิดขึ้นภายในบ่อหมักก๊าซจะมีแรงผลักดันมูลสัตว์และน้ําที่อยู่ส่วนด้านล่างให้ทะลักขึ้นไปเก็บไว้ในบ่อล้น เมื่อนําก๊าซไปใช้น้ําในบ่อล้นจะไหลย้อนกลับเข้าไปในบ่อหมักเพื่อผลักดันก๊าซให้มีความดันเพียงพอที่จะนําไปใช้งานได้
AF,Anaerobic Filter _Anaerobic Fixed Flim

4. ระบบหมักแบบถังกรองไร้ออกซิเจน (AF,Anaerobic Filter หรือ Anaerobic Fixed Flim)
ระบบได้ถูกพัฒนาให้มีความสามารถในการเก็บกักตะกอนจุลินทรีย์ได้ดีขึ้นจากถังหมักที่อาศัยการทํางานของตะกอนจุลินทรีย์แขวนลอยในน้ําเสีย มาเป็นแบบระบบที่อาศัยการทํางานของจุลินทรีย์ที่ยึดเกาะกับตัวกลาง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะทั่วไปของเครื่องกรองแบบไม่ใช้อากาศส่วนประกอบที่สําคัญคือ ถังสูงที่มีลักษณะคล้ายถังกรอง แต่บรรจุภายในด้วย หินขนาด 1.5-2 นิ้วหรืออาจใช้ตัวกลางพลาสติกแท ก็ได้ น้ําเสียจะไหลจากข้างล่างขึ้นข้างบน ลักษณะเช่นนี้จะทําให้น้ําท่วมตัวกลางอยู่ตลอดเวลา ถ้าทําให้แบคทีเรียส่วนใหญ่ถูกจับอยู่ภายในถังกรอง น้ําที่ไหลออกมาจะมีความใสโดยไม่ต้องใช้ถังตกตะกอนต่างหาก โดยปกติครื่องกรองไม่ใช้อากาศมีขนาดเล็กกว่าถังย่อยแบบธรรมดาเพราะมีอัตราบําบัดสูงกว่า (ใช้เวลากักน้ําต่ํากว่า) อย่างไรก็ตามเครื่องกรองแบบไม่ใช้อากาศมีจุดอ่อนบางอย่างที่ต้องแก้ไข คือหากความเร็วของน้ําในถังปฏิกิริยาเกิน 2 เมตร/วัน จะเกิดการชะเอา Floc Sludge ออกจากระบบ ทําให้ประสิทธิภาพของระบบลดลงและหากเกิด Fixed Film มากจนควบคุมไม่ได้ก็จะเกิดการอุดตันและเกิดการไหลลัดวงจรทําให้ประสิทธิภาพลดลงจากข้อด้อยดังกล่าวทําให้ต้องใช้พื้นที่มากและมีความยุ่งยากในการบํารุงรักษาอีกทั้งตัวกลางที่มีคุณสมบัติที่ดีครบถ้วนจะมีราคาแพง (6,000 บาท/ลูกบาศก์เมตร) ถังกรองไร้ออกซิเจนจึงไม่ได้รับความนิยมนํามาใช้งานกับระบบขนาดใหญ่ แต่ก็มีการใช้งานอยู่บ้างกับระบบขนาดเล็กและขนาดกลาง

ข้อดี
– สามารถรับปริมาณสารอินทรีย์ได้สูง 
– ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของน้ําเสีย 
– ง่ายต่อการควบคุมระบบ

ข้อเสีย 
– ค่าก่อสร้างระบบสูงกว่าระบบอื่นๆ เนื่องจากวัสดุกรองมีราคาสูง 
– มีปัญหาอุดตันในระยะยาว

AFB, Anaerobic Fluidized Bed

5. ระบบหมักแบบชั้นลอยตัวแบบไม่ใช้อากาศ (AFB, Anaerobic Fluidized Bed)
ระบบนี้เป็นระบบที่ได้พัฒนามาจากระบบถังกรองไร้ออกซิเจน (Anaerobic Filter) มีการดัดแปลงระบบ โดยเปลี่ยนตัวกลางที่เป็นชนิดติดอยู่กับที่มาใช้ตัวกลางที่สามารถเคลื่อนไหวได้และมีพื้นที่ผิวมากๆ ซึ่งตัวกลางดังกล่าวจะเป็นทราย, Anthracite , Activated Carbon หรือวัสดุอื่น ๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงเม็ดทราย การทํางานของระบบจะทําให้ตัวกลางมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาจึงไม่เกิดการอุดตันและระบบยังมีพื้นที่ผิวของฟิล์มจุลชีพต่อหน่วยปริมาตรมากกว่าถังกรองไร้ออกซิเจนอีกด้วย ซึ่งทําให้ระบบ (Anaerobic Filter) สามารถรับภาระบรรทุกสารอินทรีย์ได้สูงกว่า แต่ข้อเสียของระบบนี้ คือ ต้องสิ้นเปลืองพลังงานจํานวนมากในการที่จะทําให้เกิดการขยายตัวของชั้นตัวกลาง และที่สําคัญที่สุด คือ มีการนําระบบมาใช้งานจริงในระดับ Full Scale น้อยมากในประเทศไทย

ข้อดี
– มีประสิทธิภาพสูงมาก

ข้อเสีย
– มีความยุ่งยากในการออกแบบ
– มีค่าใช้จ่ายสูงทั้งการก่อสร้างระบบหมักและการควบคุมดูแล
*เนื่องจากต้องมีการหมุนเวียนอัตราน้ําไหลขึ้นที่สูงและ คงที่ตลอดเวลาจึงทําให้ระบบหมักนี้ไม่นิยมใช้ในอุตสาหกรรม

AC, Anaerobic Contact

6. ระบบหมักแบบถังย่อยแบบสัมผัส (AC, Anaerobic Contact)
ถังย่อยแบบสัมผัส ใช้ในการกําจัดสารอินทรีย์ที่อยู่ในน้ําเสียสารอินทรีย์ที่ต้องการกําจัดอาจเป็นของแข็งหรือสารละลายก็ได้ ถังย่อยแบบสัมผัสนี้อาจเป็นถังปฏิกิริยาแบบมีการหมุนเวียนตะกอนหรือไม่มีก็ได้ แต่นิยมใช้แบบที่มีการหมุนเวียนตะกอน โดยถังกวนสมบูรณ์จะมีถังตกตะกอนขนาดใหญ่ทําหน้าที่แยกแบคทีเรียออกจากน้ําเสียเพื่อนําตะกอนจุลินทรีย์มาหมุนเวียนกลับเข้าถังกวนสมบูรณ์ใหม่เพื่อรักษาปริมาณจุลินทรีย์ในระบบถังกวนสมบูรณ์จะเลี้ยงแบคทีเรียชนิด Floc Sludge ให้มีความเข้มข้นสูงประมาณ 10,000 – 30,000 มิลลิกรัมต่อลิตร โดยทั่วไประบบจะสามารถรับภาระบรรทุกสารอินทรีย์ได้สูงสุด 6 กิโลกรัม COD/ลูกบาศก์เมตรต่อวัน จากการที่ระบบต้องมีถังตกตะกอนและการหมุนเวียนตะกอนกลับ ทําให้ถังหมักมีค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในการเดินระบบบําบัดใกล้เคียงกับระบบเติมอากาศซึ่งจะแพงกว่าระบบไร้ออกซิเจนประเภทอื่น ๆ อีกทั้ง มีปัญหาในการควบคุมให้ Floc Sludge ตกตะกอนระบบนี้จึงไม่เป็นที่นิยมในหมู่วิศวกรผู้ออกแบบคนไทยทําให้มีใช้กันน้อยมาก ส่วนในต่างประเทศนิยมใช้กันมากในอดีต 

ข้อดี
– มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายสูง
– สามารถรับภาระปริมาณการเติมสารอินทรีย์สูง
– ช่วยลดระยะเวลาในการกักเก็บน้ําเสียในถังหมัก
– ค่าก่อสร้างระบบหมักไม่สูงมากนัก

ข้อเสีย
– มีความยุ่งยากในการออกแบบและควบคุมดูแลระบบ
*เนื่องจากต้องระวังในการควบคุมปริมาณแบคทีเรียในระบบให้เหมาะสม
– ต้องมีการกวนผสมในถังหมักตลอดเวลา
– ตะกอนแบคทีเรียมีคุณสมบัติจมตัวยากอาจจําเป็นต้องมีอุปกรณ์อื่นที่ช่วยทําให้ตะกอนแบคทีเรียนี้จมตัวดีขึ้น
– มักใช้กับน้ําเสียปริมาณสูง ซึ่งทําให้ค่าก่อสร้างระบบต่ํากว่ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับระบบหมัก AF

Up flow Anaerobic Sludge Blanket

7. ระบบหมักแบบ UASB (Up flow Anaerobic Sludge Blanket)
ลักษณะการทํางานของบ่อ UASB คือน้ําเสียจะถูกสูบเข้าก้นถังตะกอนแบคทีเรียที่ก้นถังแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่าง (Sludge Bed) เป็นตะกอนเม็ด เป็นแบคทีเรียชนิดเส้นใยยาวเกาะกันแน่นมีความหนาแน่นสูง ส่วนชั้นที่ 2 เรียกว่า Sludge Blanket เป็นแบคทีเรียตะกอนเบาช่วงบนของถังหมักจะมีอุปกรณ์แยกก๊าซชีวภาพและตะกอนแบคทีเรีย (Gas-Solid Separator)
ระบบ UASB เป็นระบบที่ไม่ต้องใช้สารตัวกลางมีทิศทางไหลของน้ําเสียจากด้านล่างขึ้นด้านบน โดยแบคทีเรียจะถูกเลี้ยงให้จับตัวกันเป็นเม็ดขนาดใหญ่ จนกระทั่งมีน้ําหนักมากและสามารถตกตะกอนได้ดีเม็ดสลัดจ์(กากตะกอน)ขนาดใหญ่จะจมตัวอยู่ข้างล่าง ส่วนเม็ดขนาดเล็กจะอยู่ข้างบน เม็ดเล็กที่สุดจะลอยตัวอยู่เป็นชั้นสลัดจ์ เม็ดบางส่วนอาจหลุดขึ้นถึงตอนบนของถังตอนบนของระบบยูเอเอสที่มีอุปกรณ์ที่คล้ายถังตกตะกอนมีหน้าที่แยกเม็ดตะกอนขนาดเล็กและก๊าซชีวภาพออกจากน้ําเรียกว่า Gas Solids Separator (GSS ทําหน้าที่แยกก๊าชตะกอนแบคทีเรียและน้ําทิ้งออกจากกันน้ําทิ้งจะระบายไปยังระบบ Secondary Treatment ก๊าซชีวภาพ จะถูกรวบรวมส่งไปใช้เป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากมีมีเทน (CH) อยู่ประมาณร้อยละ 50-85 ระบบสามารถรับ COD loading ได้สูงถึง 12 กิโลกรัม COD/ ลูกบาศก์เมตรต่อวันมีผลทําให้ระยะเวลาในการบําบัด น้ําเสียของระบบสั้นลงอย่างมากเหลือเพียง 4 – 160 ชม. ระบบมีความสามารถในการส่งผ่านอาหารได้ดี เนื่องจากเม็ดตะกอนแบคทีเรียประกอบด้วยแบคทีเรียสร้างกรดและแบคทีเรียสร้างมีเทนเกาะกันอยู่เป็นเม็ด และสามารถย่อยสลายมลสารที่มีความเข้มข้นสูงได้ดีโดยสามารถบําบัดน้ําเสียที่มีความเข้มข้นถึง 100,000 มิลลิกรัมต่อลิตร

ข้อดี 
– เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงและค่าก่อสร้างต่ําเมื่อเปรียบเทียบกับระบบอื่น ๆ
*เนื่องจากไม่ต้องการเครื่องกวนผสมและถังตกตะกอน
– สามารถรับปริมาณสารอินทรีย์ได้สูง

ข้อเสีย 
– มีความยุ่งยากในการเลี้ยงตะกอนเม็ดจากตะกอนเบาและไม่เหมาะสมกับน้ําเสียที่มีสารแขวนลอย

EGSB, Expanded Granular Sludge Bed

8. ระบบหมักแบบ EGSB (Expanded Granular Sludge Bed)
ระบบ EGSB ปรับปรุงมาจากระบบ UASB โดยให้มีอัตราน้ําไหลขึ้นสูงประมาณ 3-10 เมตรต่อชั่วโมง ทําให้ชั้นนอน (Sludge Bed) มีการขยายตัวมากกว่าระบบ UASB ช่วยทําให้มีการสัมผัสระหว่างน้ําเสียและเม็ดแบคทีเรียได้ทั่วถึง การบําบัดน้ําเสียจึงมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบ UASB รูปตัดของ EGSB การย่อยสลายสารอินทรีย์ให้กลายเป็นมีเทนเกิดขึ้นภายในชั้นสลัดจ์นอน (Sludge Bed) ความสูงของชั้นสลัดจ์นอน ขึ้นอยู่กับความสูงของถังหมัก ซึ่งมักมีค่าอยู่ในช่วง 7-14 เมตร เมื่อน้ําเสียไหลขึ้นมาถึงตอนบนซึ่งเป็น GSS หรือระบบแยกก๊าซและของแข็งแขวนลอยออกจากน้ํา ก๊าซชีวภาพและของแข็งแขวนลอย(SS)ถูกแยกออกจากน้ําเสียที่บําบัดแล้วก๊าซจะลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ํา SS จะตกตะกอนกลับลงไปยังตอนล่างของถังหมัก น้ําเสียบําบัดแล้วจะไหลออกระบบ GSS ของถังหมักแบบ EGSB เป็นระบบที่ออกแบบพิเศษให้สามารถทํางานได้ดีกว่าจากถังหมักระบบGSS ของถัง UASB ทั่วไป กล่าวคือ ให้สามารถรับ อัตราไหลได้สูงกว่า (อัตราน้ําล้นผิวของระบบ GSS ชุดพิเศษนี้มีค่าประมาณ 1 เมตรต่อชั่วโมง)

AnRBC _Anaerobic Rotating Biological Contactor

9. ระบบหมักแบบจานหมุนชีวภาพไม่ใช้อากาศ (AnRBC หรือ Anaerobic Rotating Biological Contactor)
ระบบนําข้อดีของระบบฟิล์มตรึง (Fixed Film) และจานหมุนชีวภาพ (RBC) มาใช้ในระบบไม่ใช้อากาศลักษณะของระบบก็คล้ายคลึงกับระบบจานหมุนชีวภาพธรรมดา เพียงแต่มีฝาปิดเพื่อไม่ให้สัมผัสอากาศจากภายนอกและมีช่องระบายก๊าซออกทางตอนบน ผลปรากฏว่าแบคทีเรียที่ไม่ใช้อากาศสามารถยึดเกาะและเจริญเติบโตได้ดีบนผิวแผ่นจาน มีคําอ้างว่าระบบนี้สามารถรับภาระสารอินทรีย์และภาระทางชลศาสตร์ที่สูงขึ้นอย่างกะทันหันได้ดี

ข้อดี 
– การเริ่มเดินระบบ (Start Up) ไม่ยุ่งยากซึ่งใช้เวลาเพียง 1 – 2 สัปดาห์
– การดูแลและบํารุงรักษาง่าย ทําให้ไม่จําเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้ความชํานาญมากนัก
– ไม่ต้องมีการควบคุมการเวียนตะกอนกลับ
– ใช้พลังงานในการเดินระบบน้อย เนื่องจากใช้พลังงานไฟฟ้าใช้สําหรับขับเคลื่อนมอเตอร์เท่านั้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการและบํารุงรักษาต่ําด้วย

ข้อเสีย
– ราคาเครื่องจักรอุปกรณ์ที่มีราคาแพง เนื่องจากต้องใช้วัสดุอย่างดีเป็นส่วนประกอบ
– เพลาแกนหมุนที่ต้องรับทั้งแรงอัดและแรงบิด ชํารุดบ่อยครั้ง
– แผ่นจานหมุนชีวภาพชํารุดเสียหายง่าย หาก สัมผัสสารพิษเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง

ABR, Anaerobic Baffled Reactor

10. ระบบหมักแบบถังปฏิกรณ์ไร้อากาศแบบแผ่นกั้น (Anaerobic Baffled Reactor)
ระบบน้ำเสียแบบนี้มีลักษณะเป็นถังหรือบ่อดินที่มีแผ่นกั้นขวางหลายแผ่นติดตั้งไว้ การไหลของน้ําเสียเข้าสู่ระบบจะมีลักษณะไหลขึ้นลงสลับกันหลายครั้ง โดยมีความเร็วในการไหลขึ้นลงประมาณ 0.2-0.4 เมตรต่อชั่วโมง ขั้นตอนการเกิดก๊าซชีวภาพจะคล้ายกับระบบ UASB ระบบนี้สามารถใช้กับน้ําเสียที่มีสารแขวนลอยสูงแต่ระบบมีขนาดใหญ่ทําให้ต้องใช้พื้นที่มากกว่าระบบ UASB


บริษัท ดอมนิค (ประเทศไทย) จำกัด มีวิศวกรผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบระบบการผลิตก๊าซพลังงานชีวภาพ และยังเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบผลิตก๊าซชีวภาพ แบรนด์ Parker โดยทีมวิศวกรของเรา ยินดีให้คำปรึกษาทั้งตัวสินค้า การออกแบบระบบ ไปจนถึงการติดตั้ง เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่า อุปกรณ์ที่เราเลือกนำเสนอจะสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ